Search

กฎหมายกับความยุติธรรม*
รศ.สิทธิกร ศักดิ์แสง
  • Share this:

กฎหมายกับความยุติธรรม*
รศ.สิทธิกร ศักดิ์แสง
ภายใต้สังคมสมัยใหม่ที่ทวีความซับซ้อน ความขัดแย้งและการแข่งขันกันอย่างสูงในการดำเนินชีวิตหรือในทางการเมืองกับการแสวงหาเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจทางการเมืองในการบริหารประเทศ ปัญหาเรื่องความยุติธรรมหรือความไม่ยุติธรรมนับวันมีแต่จะพบเห็นกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเกี่ยวกับปัจเจกชนด้วยกัน เราคงคุ้นหูกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของคนรอบๆข้างพูดถึงความไม่ยุติธรรมที่ตนได้รับ นับแต่ปัญหาใกล้ๆตัว เช่น ปัญหาการกระจายรายได้ที่ไม่เป็นธรรมในสังคม หรือแม้กระทั่งปัญหาในระดับชาติ คือ ความไม่ยุติธรรมในการคัดเลือกบุคคลเข้าไปใช้อำนาจในองค์ของรัฐฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ(การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา) ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง
ความยุติธรรมเป็นเรื่องที่นักปราชญ์สนใจมาแต่ในอดีต คือ อริสโตเติล, เซนต์โทมัส อไควนัส ที่มองยุติธรรมจะเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับเสมอภาค แต่มิได้หมายความว่า ทุกคนได้เหมือนกัน เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น ก็จะเป็นการทำอย่างเดียวกัน กับ คนที่เท่ากันและ คนที่ไม่เท่ากัน ถ้าเช่นนั้นเสมอภาคอย่างใด จึงจะเข้าข่ายความยุติธรรม เราจึงเริ่มการพิจารณาคำนิยามดังต่อไปนี้ก่อน ว่าความยุติธรรมคือ
(1)ทุกคนได้ตามที่ตนมีคุณงามความดีอยู่เพียงไร
(2)ทุกคนได้ตามความจำเป็นของตน
(3)ทุกคนได้เท่าที่ตนมีสิทธิอันชอบธรรม
(4)ทุกคนได้เท่าที่กฎหมายบัญญัติไว้
สำหรับผู้พิพากษาและนักกฎหมายโดยทั่วไปความยุติธรรมจะมีความหมายจำเพาะ(4) คือ ความยุติธรรมที่ทุกคนได้ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ เพราะถ้าถือตามนี้แล้วบุคคลเหล่านี้ย่อมสามารถ ให้ความยุติธรรม ได้ตามกระบวนการยุติธรรมของรัฐ ในกรณีนี้ความยุติธรรมหมายถึงการแปลและบังคับใช้กฎหมายอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่มีอคติเข้ามาแทรกแซงได้ แต่สำหรับประชาชนพลเมืองทั่วๆไป ที่ไม่สนใจในด้านการบริหารงานของรัฐ ย่อมอดเสียไม่ได้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม แม้กระนั้นคนทั่วๆไปก็อยากที่จะรู้ได้ชัดว่าความยุติธรรมคืออะไร ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้


ความยุติธรรมตามที่กฎหมายบัญญัติไว้
ในยุคสมัยใหม่เมื่อพูดถึงความยุติธรรมตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
ใหญ่ๆ คือ ความยุติธรรมทั่วไป กับความยุติธรรมเฉพาะ
ความยุติธรรมทั่วไป
ความยุติธรรมทั่วไป เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ที่ประชาชนมีต่อรัฐ พูดง่ายๆ คือ การเรียกร้องให้ประชาชนยอมให้แก่รัฐในสิ่งที่รัฐควรได้รับ หรือเป็นของรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเคารพเชื่อฟังกฎหมาย ซึ่งความยุติธรรมแบบนี้ตรงกับ เซนต์โทมัส อไควนัส ในการพิจารณาความยุติธรรมตามกฎหมาย
ความยุติธรรมเฉพาะ
ความยุติธรรมเฉพาะ แยกออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่และในตอนนี้แนวคิดของอริสโตเติล เข้ามามีบทบาท
1.ความยุติธรรมแบบแลกเปลี่ยนตอบแทน (ใช้ในความหมายกว้างกว่าแนวคิดของอริสโตเติล) ตามแนวคิดของอริสโตเติล เกิดความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในสภาพมีฐานะเท่าเทียมกัน หลักความยุติธรรมนี้ คือ หลักต่างตอบแทนและเราสามารถแยกย่อยๆออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
1) กลุ่มที่ 1 ความยุติธรรมทางอาญาและความยุติธรรมในการแก้ไขให้กลับฟื้นคืนดี
(1) ความยุติธรรมทางอาญา คือความยุติธรรมแบบล้างแค้น ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ความยุติธรรมแบบนี้สามารถดำรงอยู่ได้ก็แต่โดยเหตุผลทางมนุษย์วิทยา ซึ่งต้องการแก้แค้นล้างแค้น ในรัฐเดิมไม่มีปัญหาเพราะสามารถแก้แค้นตอบแทนกันเอง แต่ในรัฐสมัยใหม่ รัฐมีอำนาจแต่เพียงผู้เดียวในการลงโทษผู้กระทำความผิดหลักการนี้ยังมีอยู่ แม้รัฐจะเป็นผู้มีอำนาจลงโทษแต่ผู้เดียวและการแก้แค้นเป็นโทษทางอาญา ซึ่งหมายถึงการชดเชยความไม่ถูกต้องหรือความชั่วที่ผู้กระทำผิดได้กระทำลง
(2) ความยุติธรรมในการการแก้ไขให้กลับคืนดี หลักการของความยุติธรรมแบบนี้ คือ บุคคลใดกระทำต่อบุคคลอื่นให้เขาเสียหาร บุคคลนั้นมีหน้าที่จะต้องให้ผู้เสียหายนั้นกลับสู่สภาพเดิม เมื่อมองไปลึกๆปัญหาของความยุติธรรมแบบนี้ คือ ในกรณีไม่สามารถกลับคืนได้เหมือนเดิม เช่น ตายไม่สามารถแก้ไขให้กลับคืนดีได้ ต้องมีเครื่องทดแทน คือ เงิน เป็นค่าสินไหมทดแทน กลักการแบบนี้ดูดี แต่มีปัญหา คือ ในทางปฏิบัติจะกำหนดอย่างไรจึงเป็นปัญหาพื้นฐานที่ไม่สามารถเยียวยาได้ ปัญหาต่อมา คือ ปัญหาความเสียหายในเชิงคุณค่าบางอย่าง เช่น เกียรติยศ ชื่อเสียง อย่างนี้เยียวยาอย่างไร และปัญหาต่อมาอีกประการหนึ่งคือ ปัญหาต้องรับผิดหรือต้องมีความสามารถรับผิดชอบในสิ่งที่เขากระทำได้หรือไม่จำเป็น ในแง่ตัวผู้กระทำถ้าหากบอกว่าเมื่อทำให้เขาเสียหายต้องแก้ไขให้เขากลับฟื้นคืนดี ถามว่าสภาวะภายในเขาต้องรับผิดชอบไหม เขารู้สำนึกในการกระทำ เจตนา จงใจ ประมาทเลินเล่อหรือไม่ ถ้าอย่างนี้ชัดเจนเขาต้องรับผิด แต่กรณีไม่มีองค์ประกอบภายในอย่างนี้อยู่เลย เขาต้องรับผิดไหม และถ้าดูองค์ประกอบต้องดูขนาดไหน เท่าไร
2) กลุ่มที่สอง ความยุติธรรมแบบแลกเปลี่ยนตอบแทนในความหมายอย่างแคบ (ตรงกับอริสโตเติลบอกไว้) ความยุติธรรมแบบนี้มีรากฐานมาจากชาติพันธุ์วิทยา ที่ปรากฏในมาสังคมบุพกาล เช่น เคยมีการแลกเปลี่ยนผู้หญิงเพื่อแต่งงานระหว่างชาติพันธุ์ และมีแนวความคิดมาจากโครงสร้างสังคม คือ การแลกเปลี่ยนสินค้าตอนที่ยังไม่มีกฎเกณฑ์ ก็เรียกว่า การแลกเปลี่ยนแบบใบ้ คือ นำสินค้ามาวางแลกเปลี่ยนกันโดยไม่ต้องพูดจากัน ความยุติธรรมแบบนี้เป็นความยุติธรรมทางเนื้อหา และต่อมาพัฒนามาเป็นความยุติธรรมในแง่ของกระบวนการ คือ ปัจจุบันนี้การแลกเปลี่ยนย่อมถือว่ายุติธรรม ถ้าหากทำขึ้นบนกระบวนการที่ตัดสินใจโดยไม่ถูกฉ้อฉล ข่มขู่
ซึ่งในที่นี้ความยุติธรรมแบบแลกเปลี่ยนตอบแทน ปัญหาอยู่ตรงที่ว่า การที่จะเปลี่ยนสิ่งหนึ่งสิ่งใด เราต้องมีกรรมสิทธิ์ในสิ่งนั้นๆ ปัญหาคลาสสิคและเป็นปัญหาดั้งเดิมทางนิติปรัชญา คือ ท่านได้กรรมสิทธิ์มาอย่างไร การที่ได้กรรมสิทธิ์มาอยู่ 2 ทฤษฎี คือ
(1) ทฤษฎีการครอบครอง
(2) ทฤษฎีการสร้างขึ้นมา
ทฤษฎีที่คิดว่าสอดคล้องกับความยุติธรรมที่สุด คือ ทฤษฎีการสร้างขึ้นมา เพราะใครก็ตามสร้างขึ้นมาก็ย่อมเป็นเจ้าของสิ่งนั้น การสร้างหรือการประดิษฐ์สัมพันธ์กับเรื่องความสามารถของคน แต่เรื่องความสามารถของคนนั้นไม่เท่าเทียมกัน ฉะนั้น คนเก่งจึงจะได้กรรมสิทธิ์ นี่เป็นปัญหาความคิดนี้ ในโลกตะวันตกเชื่อว่ามนุษย์เกิดมาเท่าเทียมกัน หากเกิดมาไม่เท่ากันก็ทำให้เท่ากัน แต่ในโลกตะวันออกเชื่อในความไม่เท่ากัน ใครทำกรรมดีก็เกิดมาเก่ง ทำกรรมชั่วเกิดมาโง่ คนเกิดมาโง่ย่อมได้กรรมสิทธิ์น้อยกว่าคนเกิดมาเก่ง
2.ความยุติธรรมแบบแบ่งสรรปันส่วน เป็นความยุติธรรมระหว่ารัฐกับประชาชน คือ คนที่มีรากฐานเหนือกว่า คือ รัฐ ให้แก่ประชาชนซึ่งอยู่ตำกว่า ซึ่งมีปัญหาว่า รัฐจะให้กับประชาชนอย่างไรจึงจะยุติธรรม ความยุติธรรมแบบแบ่งสันปันส่วนให้แก่เขาในสิ่งที่เขาควรจะได้ ในแง่นี้ คือ ให้แก่คนที่มีสภาพอย่างเดียวกับสภาวะอย่างเดียวกัน ฐานะอย่างเดียวกันก็ให้เหมือนกันเลือกปฏิบัติไม่ได้
ความยุติธรรมแบบแบ่งสรรปันส่วนนี้ ในความหมายอย่างกว้างที่สุดแล้ว เราบอกว่าเป็นเรื่องฝ่ายหนึ่งมีอำนาจเหนืออีกฝ่ายหนึ่ง ปกติไม่ครอบคลุมเฉพาะเรื่องของรัฐที่มีต่อประชาชนเท่านั้น แต่ยังครอบคุลมประเด็นอื่นอีกด้วย เช่น ความยุติธรรมที่พ่อแม่มีให้แก่ลูก ถือว่าอยู่ในแบบนี้เหมือนกัน หรือ นักนิติปรัชญาบางคนมองว่าความยุติธรรมระหว่างคนรวยกับคนจน คนรวยมีอำนาจเข้มแข็งทางเศรษฐกิจมากกว่า ก็ควรจะนึกถึงตามแนวนี้ด้วย ซึ่งรับแนวคิดมาจากอริสโตเติล โดยแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย
ดังนั้นสรุปได้ว่า ถ้าไม่มีสังคมมนุษย์ ก็จะไม่มีปัญหาในเรื่องความยุติธรรม ความยุติธรรมจึงเป็นเรื่องที่ปรากฏในสังคม ซึ่งนำคำนิยามมาประยุกต์ใช้ในสังคมส่อให้เห็นความแตกแยกทางความคิดในเรื่องของความยุติธรรม จึงไม่น่าแปลกใจอะไรเลยที่แม้คนซึ่งซื่อสัตย์สุจริตยังมีความเห็นในเรื่องความยุติธรรมแตกต่างกันไปและยังไม่สามารถตกลงร่วมกันได้


Tags:

About author
not provided
ปัจุบัน พ้นจากการโมฆะบุรุษ รองศาสตราจารย์ประจำ คณะนิติศาสตร์
View all posts